วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

สุนัขพันธุ์

เจแปนนิส ชิน



{pic-alt} ลักษณะทั่วไป

     เจแปนนิส ชิน เป็นสุนัขที่มีรูปร่างเล็ก ขนยาวปานกลาง มีลักษณะคล้ายสุนัขพันธุ์ชิสุ แต่ว่ามีขนบริเวณศีรษะและใบหน้าค่อนข้างสั้น สีขนทั่วไปจะเป็นสีขาวสลับสีดำ หรือ สีขาวสลับแดง อุปนิสัยค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ฉลาด มีไหวพริบ เจแปนนิส ชิน เป็นสุนัขที่เกิดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์สำหรับเป็นเพื่อนกับมนุษย์โดยเฉพาะ เขาจึงต้องการความรักสูง พวกเขาคล่องแคล่ว ขี้เล่น ง่ายต่อการถูกฝึกสอนให้แสดงโชว์หรือเล่นเกมต่างๆ

 

{pic-alt} ความเป็นมา


     เจแปนนิส ชิน มีประวัติต้นกำเนิดที่ยาวนาน และยังไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นมาจากประเทศใด บ้างกล่าวว่า ต้นกำเนิดและการพัฒนาสายพันธุ์ มาจากถิ่นพื้นเมืองของประเทศจีน พวกเขาเป็นสุนัขที่ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์และความน่ารัก สามารถเป็นที่รักได้กับทุกๆ คน  ในสมัยก่อนเจแปนนิส ชินได้รับการผสมพันธุ์เพื่อเป็นเพื่อนกับกลุ่มหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในราชวัง นอกจากนี้พวกเขายังถูกนำมาเป็นภาพประกอบอยู่บนเครื่องปั้นดินเผาและลายเย็บปักถักร้อยเมื่อร้อยกว่าปีก่อน แต่สุนัขพันธุ์นี้คนทั่วไปไม่สามารถหาซื้อได้ เนื่องจากพวกเขาจะถูกเลี้ยงและเก็บไว้เฉพาะชนชั้นสูง อย่างไรก็ตามในบางหลักฐานกล่าวว่า ต้นกำเนิดของเจแปนนิส ชิน เริ่มแรกเดิมทีอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงประมาณ ค.ศ. 732 เป็นสุนัขที่มีไว้สำหรับมอบเป็นของขวัญให้แก่ครอบครัวของราชวงศ์เกาหลีและญี่ปุ่น รวมทั้ง บรรดาขุนนาง และชาวต่างชาติที่ทำงานรับให้ญี่ปุ่น  จนกระทั่งร้อยกว่าปีต่อมา เพอรรี่ ผู้บังคับการเรือชาวอเมริกัน ได้นำสุนัขพันธุ์นี้เข้าไปยังประเทศอังกฤษ จนกลายเป็นที่นิยมทางฝั่งตะวันตก

{pic-alt}












 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย


     เจแปนนิส ชิน เป็นสุนัขที่มีนิสัยร่าเริง สดใส ตื่นตัว ซื่อสัตย์ ว่องไว อ่อนไหว อ่อนโยน เป็นมิตร และขี้เล่น  ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นสุนัขที่ผสมพันธุ์ขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนมนุษย์และครอบครัว พวกเขาจึงค่อนข้างอ่อนไหวง่าย และต้องการความรัก การดูแลเอาใจใส่สูง ยิ่งผู้เลี้ยงดูแลและให้ความรักได้ดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรักได้มากเท่านั้น พวกเขาเข้าได้ง่ายกับคนแปลกหน้า สัตว์ตัวอื่น ปรับตัวได้ดีกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตาม เจแปนนิส ชิน พวกเขามีข้อเสียเล็กน้อย ตรงที่ต้องการการเอาใจใส่มากจนติดนิสัยเอาแต่ใจ ต้องการเป็นจุดสนใจ  และถ้าพวกเขาไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เขาก็จะเกิดอาการอิจฉา อารมณ์ไม่ดี วิตกกังวล



 

{pic-alt} การดูแล


     เจแปนนิส ชิน มีขนยาวควรได้รับการแปรงขนประมาณ  3-4  นาทีเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ขนสวยและดูเงางามอยู่เสมอ ขนของเจแปนนิส ชินเป็นขนชั้นเดียว มีการพลัดขนปานกลาง ควรอาบน้ำให้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง ใช้แชมพูที่อ่อนโยนเป็นพิเศษต่อผิว ควรหลีกเลี่ยงครีมนวด  หากไม่สกปรกมากนัก การแปรงขนเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา การดูแลรักษาตาสำคัญมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ ควรทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน หูก็เช่นกัน เพราะอาจจะพบสัญญาณของการติดเชื้อได้ ส่วนการดูแลรักษาฟันก็ควรรักษาให้สะอาดเช่นกัน เพราะการคอยตรวจเชคและดูอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ฟันของพวกเขาอยู่ได้นานมากขึ้น  นอกจากนี้ควรตรวจดูเล็บเท้า หากยาวให้ตัดบริเวณปลายเล็บออก

     การออกกำลังกาย เจแปนนิส ชินต้องการการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย เพราะพวกเขาเป็นสุนัขที่มีพลังงานต่ำ ควรให้เขาออกกำลังกายวันเว้นวันเป็นอย่างมาก หรือ 2-3 วันต่อครั้ง พวกเขาชอบเดินมากกว่าวิ่ง ซึ่งการออกกำลังกายแต่พอดีทำให้เขารู้สึกพึงพอใจและมีความสุข แต่ต้องระวังสุนัขตัวอื่นพยายามเข้ามาจู่โจม หรือเข้ามาเล่นด้วยความรุนแรงเพราะจะทำให้พวกเขาตกใจ
 

















 
{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม

     เจแปนนิส ชิน เป็นสุนัขขนาดเล็กต้องการพื้นที่ในการอยู่อาศัยน้อย ชอบอยู่เงียบๆ ภายในบ้าน สามารถหากิจกรรมเล่นยามว่างได้เอง จึงเหมาะกับผู้เลี้ยงที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องการออกไปเดินเล่น  หรือวิ่งเล่นที่สนามหญ้าโล่งกว้างบ้างประมาณ วันเว้นวัน หรือ 2 วันต่อครั้ง ผู้เลี้ยงควรมีเวลาแปรงขนให้เขาเป็นประจำทุกวัน  มีเวลาอยู่กับเขา ใส่ใจและให้ความรักเขาอย่างเพียงพอ เจแปนนิส ชินเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่า แต่จะเห่าเพื่อให้คนแปลกหน้าตื่นตัว หรือตื่นตกใจ พวกเขาจึงเหมาะกับเป็นสุนัขที่มีไว้เฝ้าบ้านด้วย

 
{pic-alt}












 

{pic-alt} ข้อควรจำ


     เจแปนนิส ชินมีปัญหาได้เช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์หน้าสั้นทั่วๆ ไป พวกเขามีแนวโน้มมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ส่งเสียงครืดคราด ถ้าหากอยู่ในระดับรุนแรงมากขึ้น ควรพาไปพบสัตวแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นกระดูกสะบ้าอักเสบ ต้อหิน ต้อกระจก โรคลมแดด  และเสี่ยงอย่างมากที่จะเป็นโรคหัวใจในสุนัข โดยเฉพาะเมื่ออายุย่างเข้า 10 ปี ดังนั้นจึงควรพาพวกเขาไปตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ และหากพบอาการผิดปกติควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

 
{pic-alt}

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น