วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

สุนัขพันธุ์

ไทยหลังอาน


{pic-alt} ลักษณะทั่วไป


     ไทยหลังอานเป็นสุนัขขนาดกลาง ขนสั้น หูตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายจมูกสีดำและมีขนย้อนกลับที่กลางหลังเป็นรูปต่างๆกัน ยาวไปตามแผ่นหลัง ซึ่งถือเป็นลักษณะเด่น สุนัขไทยหลังอานมีความแข็งแรงมาก อดทนต่อสภาพภูมิอากาศได้โดยทั่วไป ทั้งร้อนและหนาว และยังเป็นสุนัขที่มีสัญชาตญาณของความเป็นนักฆ่าสูง และมีความจงรักภักดีต่อผู้เลี้ยงอีกด้วย

 

{pic-alt} ความเป็นมา


     สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานมีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยนี่เอง มีการสันนิษฐานว่าไทยหลังอานมาจากสุนัขในกลุ่มพวกหมาป่า และเป็นสุนัขพื้นเมืองในโซนเขตร้อน แต่ไทยหลังอานมีลักษณะพิเศษเฉพาะคือมีขนเป็นเส้นย้อนกลับที่เส้นกลางหลัง ในขณะที่สุนัขสายพันธุ์อื่นๆในกลุ่มเดียวกันไม่มี
 
{pic-alt}









 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย


     ไทยหลังอานมีนิสัยของการเป็นนักล่าชัดเจน เป็นนักล่าที่ดี มีความระแวดระวังสิ่งแปลกปลอมเป็นอย่างดี มีความสามารถในการกระโดดดีเยี่ยม ฉลาด มีความมั่นคง กล้าหาญเด็ดเดี่ยว รักอิสระ มีท่วงท่าที่สง่า และเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ซึ่งไทยหลังอานมีความขึ้นชื่อในเรื่องของความจงรักภักดี

 

{pic-alt} การดูแล


     สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานควรมีกรงนอนให้ด้วย ซึ่งถือเป็นการฝึกวินัยไปในตัว การให้อาหารสุนัขไทยหลังอานนั้นผู้เลี้ยงสามารถให้อาหารได้ตามปกติ แต่ควรสลับมาให้อาหารเม็ดด้วย และไม่ควรลืมที่จะให้น้ำดื่ม ส่วนน้ำที่จะให้สุนัขดื่มนั้นจะต้องเปลี่ยนทุกวัน ด้านการดูแลทำความสะอาด สุนัขไทยหลังอานอาบน้ำเดือนละ 2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง และในเรื่องของสุขภาพควรให้ความระมัดระวังเรื่องโรคผิวหนัง เพราะสุนัขไทยหลังอานมีขนสั้น ยุงหรือเห็บหมัดอาจเป็นพาหะนำโรคมาสู่สุนัขพันธุ์นี้ได้      

{pic-alt}












{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


     ผู้ที่อยากจะเลี้ยงไทยหลังอานต้องเป็นผู้ที่ให้ความรักและความเอาใจใส่ได้ดีควรเป็นผู้ที่มีเวลาในการดูแลสุนัข เนื่องจากไทยหลังอานต้องการการออกกำลังการ ผู้เลี้ยงควรพาออกไปวิ่งเล่นภายในบริเวณบ้านหรือสวนสาธารณะบ่อยๆ (ทุกครั้งที่พาออกไปวิ่งควรใส่สายจูงด้วย) และที่สำคัญผู้เลี้ยงควรหมั่นตรวจดูสุขภาพของสุนัขโดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพผิวหนัง

 

{pic-alt} ข้อควรจำ

     เวลาที่สุนัขไทยหลังอานขัดขืน ให้รีบห้ามทันทีด้วยคำว่า “ไม่” เพราะหากปล่อยไปหลังจากนั้น เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

สุนัขพันธุ์

ไซบีเรียน ฮัสกี้


{pic-alt} ลักษณะทั่วไป


     ไซบีเรียน ฮัสกี หรือเรียกสั้นๆว่า ไซบีเรียน สุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น แข็งแรง คล่องแคล่ว มีหน้าตาเป็นอาวุธ เพราะ หน้าดุ ทำให้คนสามารถกลัวได้ ลักษณะจะเหมือนหมาป่า แต่จริงๆแล้วไม่ดุอย่างหน้าตาหรอกนะ เป็นมิตรกับคนและเข้ากับคนได้ง่าย สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนนี้จะรู้จักกันดีในกีฬาลากเลื่อนที่เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยม


 

{pic-alt} ความเป็นมา


     ไซบีเรียน อัสกีนี้มีต้นกำเนิดในตะวันออกของไซบีเรีย คำว่า “ฮัสกี้” ได้มาจากชื่อที่ใช้เรียกชาวอินนูอิต(Inuit) โดยเพาะพันธุ์มากจากสุนัขในวงศ์สปิตซ์(สุนัขขนยาวและหนา)ของชาวชุกซี ต่อมาได้ถุกนำเข้ามาในอลาสกาและแพร่พันธุ์เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา จนพัฒนามาเป็นสุนัขลากเลื่อนเมื่อประมาณ ค.ศ.1900 ต่อมาจึงนำมาไซบีเรียนเลี้ยงเป็นสุนัขตามบ้าน



{pic-alt}

 





 





 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย
 

     ไซบีเรียนเป็นสุนัขที่ฉลาด ไฮเปอร์ตื่นตัว พลังงานสูง สมาธิค่อนข้างสั้น รักอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เข้าขั้นเรียก่า ดื้อ ขี้บ่น ขี้เถียง ฝึกยาก เป็นนักทำลายข้าวของตัวยง แต่ไซบีเรียนเป็นน้องหมาที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าจะคุ้นหน้า หรือแปลกหน้า ไหวพริบดี ฉลาดแกมโกง ซึ่งไหวพริบกับความฉลาดที่มีของพวกเขานั้นไม่ค่อยได้เอาไปใช้ประโยชน์สักเท่าไหร่ โดยส่วนมากจะเป็นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อหาทางซุกซนเสียมากกว่า ไซบีเรียนฮัสกี้ชอบหอนมากกว่าเห่า จนกลายเป็นปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวและเพื่อนบ้าน พวกเขาค่อนข้างฝึกยาก จึงควรได้รับการฝึกอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน วันละ 10 - 15 นาที แต่ควรได้รับการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันมากกว่า 15 นาที โดยการวิ่ง เพื่อให้พวกเขาได้เผาผลาญพลังงาน ไม่ซุกซนจนเกินควร
 

{pic-alt} การดูแล
 

     การให้อาหารสุนัขไซบีเรียนนั้น จะให้ 2-3 ครั้ง/วัน ได้ แต่สุนัขพันธุ์นี้จะค่อนข้างกินอะไรยากอยู่เช่นกันหากไม่ถูกปาก มันจะยอมอดอาหารได้ 3-4 วัน ดังนั้นวิธีการที่จะกระตุ้นความอยากอาหารได้คือการพาสุนัขไปออกกำลังกาย ส่วนของอาหารนั้นผู้เลี้ยงสามารถสามารถนำอาหารสำเร็จรูปมาผสมกับอาหารอื่นได้เพื่อเพิ่มรสชาติและอรรถรสในการกินมากขึ้น อาหารที่สุนัขไซบีเรียนโปรดปรานที่สุด คืออาหารที่มีปลาผสมอยู่ในอาหาร สุนัขจะกินหมดได้อย่างรวดเร็ว

     ส่วนเรื่องของการทำความสะอาดนั้น ไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไป อาบ2-3 สัปดาห์ต่อครั้งก็พอ เพราะไซบีเรียนนั้นเป็นสุนัขสะอาด ไม่มีกลิ่นตัว หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สกปรกก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อยๆ ก็ได้ ที่สำคัญเวลาอาบน้ำต้องใช้แชมพูอาบน้ำสุนัขโดยเฉพาะ ควรมีความอ่อนโยนมากๆ และหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วจะต้องใช้ไดร์เป่าขนให้แห้งสนิท อาจใช้ระยะเวลานาน แต่เพื่อไม่ทำให้น้องไซบีเรียนเป็นโรคผิวหนัง

     เรื่องของขนสุนัขไซบีเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้เลี้ยงควรใส่ใจ หากอยู่ในช่วงฤดูผลัดขนนั้น มันจะมีปริมาณขนที่ผลัดออกมาเยอะมากๆ ฉะนั้นผู้เลี้ยงควรจะต้องมั่นดูแล และแปรงขน เพื่อไม่ให้เกิดขนพันกัน ส่วนเรื่องของสุขภาพของสุนัขก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและผู้เลี้ยงควรจะให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยสร้างสุขภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพจิตของสุนัขดีขึ้นด้วย ควรใช้เวลาการออกกำลังกาย 15 นาที/วัน ดีที่สุดและทำทุกๆวัน

     ผู้เลี้ยงจะต้องทราบว่าหากไม่ได้พาสุนัขไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไซบีเรียนจะกลายเป็นตัวยุ่ง ก่อความรำคาญในทันที เพราะมันจะเกิดความเบื่อหน่าย จึงต้องหาอะไรทำเพื่อลดออาการเบื่อหน่ายลงไป อีกทั้งการออกกำลังกายยังเป็นการช่วยกนะตุ้นให้ไซบีเรียนนั้นอยากอาหารไปในตัวอีกด้วย















 
{pic-alt}
 

{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


     ไซบีเรียนเหมาะสำหรับคนที่พร้อมจะดูแล มีเวลาให้ และให้ทุกอย่างที่มันต้องการได้ ไม่ว่าจะออกกำลังกาย และมิตรภาพจากเจ้าของ เพื่อสร้างมิตรภาพระหว่างเจ้านายกับสุนัข จะทำให้สุนัขเชื่อฟังและไม่ดื้อกับเจ้าของของมัน
 

{pic-alt} ข้อควรจำ


     เป็นสุนัขที่ไม่ชอบเห่า แต่ชอบหอนเป็นที่สุด แถมยังเป็นสุนัขที่รักอิสระ ไม่ควรอย่างยิ่งหากจะบังคับให้เค้าทำอะไรมากๆโดยไม่จำเป็น หากทำอะไรรุนแรง เจ้าไซบีเรียนก็ไม่ไว้ใจและระแวงในที่สุด












{pic-alt}
 
{pic-alt} ความน่ารักของสุนัขพันธุ์นี้

สุนัขพันธุ์

ซาลูกิ 


{pic-alt} ลักษณะทั่วไป

     แม้ว่าซาลูกิจะมีความสง่างาม บอบบาง แต่มีความเฉลียวฉลาด คล่องแคล่ว ว่องไว แข็งแรง ทนทาน สมกับที่มีสายเลือดสุนัขล่าเนื้อ ซาลูกิมีขนยาวสลวยปกคลุมถึงช่วงขา  สีขนมีทั้งสีขาว สีครีม สีทอง สีแดง สีน้ำตาลลูกกวาง สีเทาผสมน้ำตาลแทน สีดำผสมสีน้ำตาลแทน หรือมีปนกัน 3 สี อายุโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 – 14 ปี


 

{pic-alt} ความเป็นมา


     ซาลูกิมีถิ่นกำเนิดในประเทศอียิปต์  ในฐานะสุนัขของราชวงศ์แห่งอียิปต์  พวกเขาเป็นสุนัขที่ได้รับความชื่นชมและภาคภูมิใจว่ามีรูปร่างที่สง่างามมาก เฉกเช่นรูปลักษณ์ของกษัตริย์ฟาโรห์  แต่เดิมชาวอาหรับนำซาลูกิไปใช้ล่ากวาง เนื่องจากพวกเขาทนกับ สภาพอากาศแบบทะเลทราย ได้ดี สายตาว่องไว มีความสามารถในการล่าสัตว์ ซึ่งในปีค.ศ. 1840 ได้มีการนำเข้าซาลูกิยังประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรก โดยถูกนำไปเลี้ยงไว้เพื่อล่ากระต่ายป่า


{pic-alt}












 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย


     ซาลูกิมีนิสัยรักอิสระเหมือนแมว ฉลาดหลักแหลม กล้าหาญ ซื่อสัตย์ แต่มีอ่อนไหวบ้าง เป็นมิตรกับผู้คน โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว ไม่ก้าวร้าว ซาลูกิมีเชื่อสายของสุนัขล่าเนื้อ จึงเป็นสุนัขที่สามารถฝึกสอนให้เชื่อฟังได้ดี แต่ต้องอาศัยความอดทน พวกเขาต้องการพื้นที่โล่งกว้างสำหรับวิ่งเล่น ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน

 

{pic-alt} การดูแล


     แม้ว่าซาลูกิจะอยู่ได้ดีภายในบ้าน แต่พวกเขาก็ต้องการออกไปนอกห้องหรือนอกบ้านบ้าง มีพื้นที่กว้างๆ ให้ได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะช่วงขาที่ยาวเป็นพิเศษ ซาลูกิชอบอยู่ในอากาศอบอุ่น แต่พวกเขาก็สามารถเจริญเติบโตได้ทุกที่ ควรแปรงขนให้อย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์  นอกจากขนแล้วยังต้องดูแลความสะอาดบริเวณตา หู และเท้า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่ควรอาบน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ผิวหนังพวกเขาบอบบาควรใช้ยาสระขนชนิดอ่อน ควรปล่อยให้แห้งโดยแสงแดดตามธรรมชาติ และหมั่นดูแลดูบาดแผลที่เล็บซึ่งอาจเกิดขึ้นเวลาวิ่งเล่น
 
{pic-alt}









 

{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม

     มีพื้นที่สนามหญ้ารอบบริเวณบ้านให้เขาได้วิ่งเล่น ออกกำลังกายช่วงขา พาเขาวิ่งเล่นเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งควรจะมีเวลาดูแลรายละเอียดในการรักษาทำความสะอาด  ผิวหนังของสุนัขพันธุ์ซาลูกิบอบบางมากต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ

 

{pic-alt} ข้อควรจำ


     35.6 เปอร์เซ็นต์ของซาลูกิ เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ถัดลงมาเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว ดังนั้น ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องการกินและสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่าง หมั่นพาไปตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีน เป็นประจำ
  
{pic-alt}











สุนัขพันธุ์

เชา เชา


{pic-alt} ลักษณะทั่วไป
 

     เชาเชาเป็นสุนัขที่มีพละกำลังเยอะมาก คล่องแคล่วว่องไวและตื่นตัวอยู่เสมอ มีขนหนาแน่นโดยเฉพาะที่รอบคอ ขนมีความมันวาวเป็นประกาย ทำให้ดูมีความสง่างามและมีความเป็นธรรมชาติ หน้าตาดุดัน ออกจะวางท่าสุขุมพอสมควร
 

{pic-alt} ความเป็นมา
 

     เชาเชา มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน เป็นพันธุ์ผสมระหว่าง มาสตีฟและชามอย และภายหลังเริ่มมีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษด้วยเพราะได้รับความสนใจจากพระนางวิคตอเรีย ปัจจุบันเป็นที่นิยมไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย


{pic-alt}














 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย
 

     เป็นสุนัขที่มีความเฉลียวฉลาด มีการตัดสินใจที่ดี รักสงบและความอิสระ ที่สำคัญเชาเชาชอบวางท่าสุขุมเป็นผู้ดี มีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ อารมณ์ดี รักอิสระและซื่อสัตย์มาก และชอบเล่นกับคนในครอบครัวมากกว่าคนแปลกหน้า
 

{pic-alt} การดูแล
 

     เรื่องของความสะอาด ผู้เลี้ยงควรหมั่นอาบน้ำให้บ่อยๆ เพราะเป็นเชาเชาเป็นสุนัขที่รักความสะอาดมาก การแปรงและหวีขนเป็นประจำเพื่อทำให้ขนดูสวยอยู่เสมอ และช่วยป้องกันไม่ให้ในบ้านไม่เต็มไปด้วยขน ที่เกิดจากการผลัดขนของสุนัข ... ในเรื่องของสุขภาพผู้เลี้ยงจะต้องมีเวลาพาเชาเชา ไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ผู้เลี้ยงยังต้องหมั่นดูและเรื่องสุขภาพผิวหนังของสุนัข เนื่องจากสุนัขเชาเชามีโรคประจำตัวคือผิวหนังอักเสบ มีน้ำเหลืองเยิ้ม กระดูกข้อต่อของช่วงขาไม่แข็งแรง และการม้วนกลับของหนังตา ทำให้ขนตากลับไปทิ่มแทงลูกตา แต่ก็สามารถแก้ไขโดยการผ่าตัด
 
{pic-alt}











 

{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
 

     ผู้เลี้ยงที่จะเลี้ยงสุนัขเชาเชาได้ดีนั้นคนที่มีเวลาเรื่องการตัดแต่งขนและการออกกำลังกายให้กับเชาเชาได้ และสุนัขเชาเชาจะรู้สึกว่าผู้เลี้ยงเหมือนเพื่อนเล่นมากกว่าเจ้าของ
 

{pic-alt} เกร็ดความรู้
 

   เชาเชาเป็นสุนัขที่รักสะอาดอย่างมากและมักจะทำความสะอาดหน้าของเขาเองหลังจากการกินด้วย

{pic-alt}








สุนัขพันธุ์

เชดแลนด์ชิพด๊อก



{pic-alt} ลักษณะทั่วไป


     เป็นสุนัขที่มีความกระตือรือล้นสูง มีความแข็งแรงมาก เพราะมีคุณลักษณะในแบบสุนัขดูแลแกะ เป็นสุนัขที่มีความเฉลียวฉลาด เชดแลนด์ชิพด๊อกอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคอลลี่รุ่นเล็ก คนยาวปานกลาง แลดูสวยงาม ขนหนา รูปร่างดูปราดเปรียวว่องไว เหมาะกับเป็นน้องหมาต้อนแกะ


 

{pic-alt} ความเป็นมา


     เป็นการผสมกันระหว่างสุนัขพันธุ์คอลลี่ (Collie) กับสุนัขสายพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนเกาะเซทแลนด์ที่เป็นกลุ่มสายพันธุ์สปิตซ์ (Spitz Type) และมีส่วนผสมของสายพันธุ์ ไอซ์แลนด์ดิก ชีพด็อก สำหรับ สุนัข เชทแลนด์ ชีพด็อก ตัวแรกที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสมาคมสุนัข ประเทศอังกฤษ ในปี 1909 เป็นสุนัขเพศเมีย ชื่อ Badenock Rose และ เชทแลนด์ ชีพด็อก ตัวแรกที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสมาคมสุนัข ประเทศอเมริกา ในปี 1911 คือ Lord Scott

 
{pic-alt}

 









 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย


     มีความเฉลียวฉลาด รักเด็ก มีความรับผิดชอบ มีสัญชาตญาณที่ดี ซื่อสัตย์ ชอบความสงบ สามารถฝึกได้โดยง่าย ไม่ใส่ใจกับคนแปลกหน้าโดยจะแสดงอาการไม่ใส่ใจ ร่าเริง วิ่งเร็วและกระโดดเก่ง


 

{pic-alt} การดูแล


     พาไปออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ต้องอาบน้ำบ่อย แต่ถ้าอยู่ในเมืองไทย ออกกลางแจ้งบ่อยๆ ก็ควรอาบ 1ครั้งต่อ 1-2 สัปดาห์ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพขนคือการแปรงขนเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันขนพันกัน ติดเป็นสางกะตัง
 
{pic-alt}



 








 

{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


     ผู้ที่ต้องการเลี้ยง เชดแลนด์ชิพด๊อกควรมีบ้านที่มีอาณาบริเวณ มีรั้วรอบขอบชิดให้พวกเขาได้วิ่งเล่น เพราะพวกเขาเคยเป็นน้องหมาต้อนเก็บมาก่อน ธรรมชาติจะชอบอยู่อย่างอิสระ มีพื้นที่ให้ได้วิ่งไปมา นอกจากนี้ผู้ต้องการเลี้ยงพวกเขาควรเวลาดูแลเรื่องขนให้แก่เขาเป็นประจำทุกวัน พาไปตัดแต่งทรงขน ทำความสะอาดหู เล็บเท้า เพื่อให้พวกเขาเป็นสุนัขที่สวยงาม สุขภาพดี

 
{pic-alt}














 

{pic-alt} ข้อควรจำ

     
      เชดแลนด์ชิพด๊อกต้องระวังเรื่องโรคสะบ้าเคลื่อน โรคสะโพกเคลื่อน หูอักเสบ โรคต่างๆ เกี่ยวกับดวงตา และอาจจะต้องระวังสำหรับบางตัวที่อาจมีอาการเลือดหยุดออกยาก จึงควรระวังเรื่องการเคลื่อนที่ของพวกเขา ทำความสะอาดหูอย่างสม่ำเสมอ ควรพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากมีอะไรผิดปกติควรไปพบแพทย์
สุนัขพันธุ์

ชิสุ 


{pic-alt} ลักษณะทั่วไป
 

     ชิสุเป็นสุนัขที่แข็งแรง ร่าเริง กระตือรือร้น บรรพบุรุษเป็นสุนัขของชนชั้นสูงในจีน จึงมีลักษณะสง่างาม หัวเชิด หางโค้งงอมาถึงหลัง ถึงแม้จะมีขนาดแตกต่างกันแต่โดยทั่วไปชิสุจะต้องตัวเล็กกะทัดรัด กระนั้นก็ไม่ถึงกับบอบบาง ต้องมีสุขภาพดีและมีโครงสร้างที่ได้มาตรฐาน
 

{pic-alt} ความเป็นมา
 

     ชิสุ ชื่อของสุนัขพันธุ์นี้มาจากภาษาจีน แปลว่า สุนัขสิงโตเป็นสุนัขในสามสายพันธุ์ชั้นสูง พวกเดียวกับปักกิ่งและปั๊ก เป็สุนัขที่หรูหราที่สุดจากจักรพรรดิจีน โดยกล่าวว่าพระทิเบตมอบสุนัขพันธุ์ชิสุให้จักรพรรดิจีนเป็นของกำนัล สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักนอกอาณาจักรจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1903 เริ่มจากอังกฤษ ฝรั่งเศส ชิสุเป็นสุนัขตัวเล็กขนยาว เจ้าเสน่ห์มีหางไม่ยาวนักยกสูงขึ้นเหนือหลัง ขนที่หัวมักจะโดนรวบขึ้นแล้วผูกโบว์สีแดงดูสะดุดตามาก มีท่วงทำนองการเดินสูงศักดิ์แบบขุนนาง แต่ลักษณะการเห่าของชิสุจะมีความเป็นเฉพาะตัวอย่างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่มันจะเห่าทักทายด้วยเสียงใหญ่ดังน่ากลัวมากตลอดเวลาจนกว่าเจ้าของจะปรามถ้าเป็นแบบทีคัพก็จะยังดังอยู่มากด้วย

 
{pic-alt}













 

{pic-alt} ลักษณะนิสัย


     ปกติชิสุจะมีนิสัย ดุ เห่าเก่งมากและดังมากดูจะเป็นสุนัขอารมณ์ศิลปินซะด้วย หลายครั้งที่พบว่ามันจะไม่เชื่อฟังเจ้าของถ้ามันไม่อยากทำซะอย่าง ขี้ประจบ ตื่นตัว รักษาสะอาด เป็นมิตร ทำให้ปรับตัวได้ดี ชิสุชอบวิ่งและรักความสนุกซึ่งเจ้าของจำเป็นจะต้องพามันออกไปวิ่งออกกำลังกายบ้าง
 

{pic-alt} การดูแล  


     ชิสุเป็นสุนัขที่เหมาะจะเลี้ยงไว้ในบ้าน ผู้เลี้ยงควรจูงเขาเดินเล่นเป็นประจำวัน ควรอาบน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และเป่าขนให้แห้งทันทีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ กำจัดเห็บหมัดอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อขนของชิสุ ยาว ผู้เลี้ยงควรพาไปตัดแต่งขนและดเล็บอย่งสม่ำเสมอ ส่วนอาหารนั้นผู้เลี้ยงควรให้อาหาร 2 ครั้งต่อวัน ควรให้อาหารตรงเวลา และอาหารที่ให้ควรเป็นอาหารเม็ดมากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะชิสุมีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะและมีกลิ่นปากได้ ด้านการดูแลสุขภาพผู้เลี้ยงควรพาชิสุไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคสุนัขบ้าและวัคซีนอื่นๆ ตามตารางที่สัตว์แพทย์ได้กำหนด และควรดูแลสุนัขอย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในบ้านตัวเดียวนานๆ เพราะสุนัขอาจมีอาการซึมเศร้าได้

{pic-alt}












{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


     ชิสุ มีบุคลิกกระฉับกระเฉง สามารถให้ความรักกับสุนัขได้ มีเวลาในการดูแลเอาใจใส่ เช่น เล่น แปรงขน ฝึกให้เข้าสังคม เป็นต้น ไมม่จำเป็นต้องมีพื้นที่กว้าง สามารถอยู่ได้ที่อพาร์ตเม้นท์ แต่ควรจะมีเวลาพาไปออกกำลังกาย เผาผลาญพลังงาน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และให้ได้มีโอกาสพาออกไปรู้จักสังคม จะได้ไม่ดุ และอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายเมื่อพบเจอคนแปลกหน้า 

{pic-alt} ข้อควรจำ

     ชิสุมีปัญหาเรื่องโรคผิวหนังได้ง่าย ควรใช้แชมพูสำหรับแพ้ง่าย ไม่ควรใช้แชมพูของคนเด็ดขาด ควรแปรงขนเป็นประจำทุกวันเพื่อขจัดขนที่ตายแล้ว รวมทั้งรังแค นอกจากนี้ชิสุยังมีโรคประจำสายพันธุ์คือ โรคหลอดลมตีบ โรคตาแห้ง โรคเชอร์รี่อาย และ โรคหูอักเสบ หากพบมีว่าผิวหนังมีอาการผิดปกติควรปรึกษาสัตวแพทย์

 
{pic-alt}